วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

ศีล 8...พุธ 14 เมษายน 2553

     
      วันนี้ตั้งนาฬิกาปลุกขยับขึ้นมาช้ากว่าเมื่อวานละกัน เสียเวลาหลับเวลานอน แต่เมื่อคืนก็อดไม่ได้ที่จะต้องกินยา (ยานอนหลับครึ่งเม็ด สูตรเดิม) เพราะกลัวว่าจะนอนไม่หลับ ก่อนนอน ก็อาบน้ำแต่ทาครีมบำรุงหน้า(เน่าๆ)ไม่ได้เพราะจะผิดศีลข้อ 7  ห้ามของหอม และเคลื่องลูบไล้ ฯลฯ จริงๆ ตั้งแต่มาก็ปฏิบัติแบบวันนี้หละ ไม่ทาแป้ง ไม่ทาลิปสติกทั้งสีและมัน ไม่ส่องกระจก(กลัวตกใจหน้าตัวเอง อิอิ) ตื่นเช้ามาทุกๆวันก็แค่แปรงฟัน อาบน้ำ ล้างหน้า(แอบใช้โฟม คิดซะว่าเป็นการรักษา อยู่ที่เจตนา ไม่บาปและผิดศีล)  แต่งกายด้วยนุ่งขาวหุ่มขาว ผ้าสไบขาว (ต้องมี ทั้งๆ ที่ ร้อนแค่ไหนก็ต้องพาดไว้ตลอด แม่บอกห้ามถอด แต่เห็นแม่ถอดตลอดหละ! แต่ก็ไม่กล้าถอดตาม) เดินส่องไฟฉายไปโบส์ถ หลังจากพระตีระฆังเรียก เอ้ยย  บอกเวลาทำวัตรเช้า....ไปเป็นกลุ่มสุดท้ายเหมือนวันนี้ (สรุป ทุกวันหละไปช้ากว่าเค้าเลย ก็ผู้สูงวัยตั้ง 3 คนนี่) เหมือนเดิม กิจวัตรสวดวัตรเช้า เปิดหนังสือหน้าไหนๆ พระอาจารย์อ๊อดจะบอกก่อนสวดเสมอ สวด สวด อากาศก็ดีเหมือนเมื่อวาน (ชักหลงไหลอากาศเวลาช่วงนี้ ซะจริงๆ) เสียงพระอาจารย์อ๊อดก็สวดได้ไพเราะฟังแล้วก็เคลิ้มจริงๆ 55555 สวดวัตรเช้าเสร็จก็ ถึงเวลานั่งวิปัสสนา เหมือนเดิม นั่งปฏิบัติแบบเมื่อวาน  ยุบหนอ พ่องหนอ แล้วก็ง่วง (เด๋วจะบอกว่าทำไม ถึงง่วง อันนี้ต้องติดตามตอนต่อไป) ง่วง ง่วง ฝืน ฝืน ไม่ไหวจะฝืน ก็นั่งฟังเสียงนก เสียงจิ๊งหรีด เสียงธรรมชาติไปพลางๆ อะเพลิดเพลินกะเสียงรอบโบส์ถหน่ำใจแล้ว ก็ตัดใจลองใหม่ นั่ง ยุบหนอ พ่องหนอ ต่อ เหมือนเดิม ง่วง ง่วง หลับหนอ ง่วงหนอ ยุบหนอ พังหนอ 555555 มาเป็นระลอก โอ๊ยยยย ไม่ไหว พอ พอ อารมณ์ตอนนั่นมันจะรู้สึกนานมั่กมาก (ขอบอก) นั่งๆ ก็นึกเสียดายเวลา ทำไม เราทำไม่ได้ ตอนนี้หละ เริ่มรู้สึกหดหู่แล้ว ไม่ได้อะไรเลยหรอ ทำไม เราทำไม่ได้ คนอื่นๆ เค้าคงได้กันหมดหละ พอได้สติ ก็นึกถึงคำพูดของพระอาจารย์อ๊อดที่ท่านเคยบอกว่า มาครั้งนี้ ก็ไม่ต้องคาดหวัง ถ้าไม่ได้อะไร คิดซะว่ามาพักผ่อน ทำใจให้สบาย แว๊บหนึ่งพอนึกแบบนี้ได้ ก็รู้สึกดีขึ้น แต่มันไม่ใช่วัตถูประสงค์ที่เรามาที่นี่....อย่างน้อย ก็ให้ได้มากกว่านี้ได้ไหม! ...จะทำได้ไหม! นั่งนึกว่า เอาหละ  เราต้องตั้งใจให้มากกว่านี้ วันนี้ต้องขยันเดินจงกรม นั่งวิปัสสนาให้มากกว่าที่อยู่ในครัว 55555 (แอบขำในใจ) สักครู่ ได้ยินเสียงจากสวรรค์ นั่นหมายถึง คนอื่นๆ เค้าเลิกนั่งวิปัสสนา ที่เราทำไม่ได้ "พอ...สมควรแก่เวลา ต่อไป ทำจิตให้สงบแผ่เมตตา" หลังสวดเสร็จ เหมือนเดิมพิธี กราบพระพุทธ พระสงฆ์ และแยกย้าย วันนี้พระและเณร มีกิจสงฆ์คือออกบิณฑบาตร ยกเว้นพระอาจารย์อ๊อด เพราะมีชาวบ้านมาแต่เช้าเลย มาถวายสังฆทาน และเจิมรถ
        ส่วนเราก็อยู่ในครัว เหมือนเดิม 55555 กิจเหมือนเดิม พระและเณรกลับมาจากบิณฑบาตรประมาณเกือบๆ 7 โมงเช้า ก็ได้เวลาจังหัน(ฉันท์มื้อเช้าของพระ) มีชาวบ้านมาทำบุญ วันนี้อาหารยังเยอะ พิธีของที่วัดป่านี้ (เหมือนเมือวานและทุกๆวัน) พระสวดๆ แล้วก็ถือบาตร (ส่วนตัว) ออกไปตักอาหารที่ตั้งไว้บนโต๊ะ มีที่คลอบกันแมลงวัน (ไม่กันฝุ่นนะ) ยาวพอประมาณ ตั้งอาหารคาว หวาน ขนมและผลไม้ ก็ต้องมีคนประเคนก่อน แล้วพระอาจารย์อ๊อดก่อนนำตัก ตักอาหารทั้ง คาว หวาน ผลไม้ ทุกอย่างที่ต้องการฉันท์ในบาตร หรือจะตักขนมแบ่งใส่ฝาบาตรก็ได้ แต่อุปกรณ์การใส่แค่นี้ ต่างจากพระวัดทั่วไป นั่งอยู่กะที่ แล้วชาวบ้านจะนำถาดอาหารมาประเคนที่หน้า แต่ที่วัดป่า (แห่งนี้) ทำแบบนี้ ต่อด้วยพระรูปอื่นๆ ตักเสร็จก็กลับไปนั่งที่เดิม ขณะที่ตัก พระยังไม่ฉันท์นะนั่งรอ ตามด้วยเณร (และพ่อ) และชีตักตามหลัง ก่อนลุก ชีก็ต้องกราบพระพุทธ 3 ครั้ง ตักใส่ชาม หรือจาน แค่นั่น อยากกินอะไรก็ตักใส่ อาจจะแยกขนมอีกจานก็ได้ ข้าพเจ้ากินมื้อเช้าได้ไม่เยอะ เพราะยังไม่รู้สึกหิว ก็ตักไม่เยอะ ทั้งๆ อาหารแบบบ้านๆ นี่ น่ากินชมัด 555 ตักแต่น้ำพริก กะผักต้ม ขนมนี่มีแต่ของชอบ แต่ไม่หยิบมาเลย แม่ต้องเอาเผื่อก็จะกินกับแม่ นิดหน่อย มันไม่หิวอะ (เสียดาย ของชอบๆทั้งนั้น ขนมโบราณๆ) ตักเสร็จ ไปนั่งที่เดิม เณร และชีตักเสร็จ ก็กลับไปนั่งที่เดิม นั่งเรียบร้อย พระก็จะนำกราบพระพุทธอีกครั้ง จากนั่นก็นั่งกินพร้อมกัน ส่วนชาวบ้านก็ลุกขึ้นไปตัก มานั่งกินเหมือนกัน ทำเหมือนกันกะที่พระและชีทำ อาหารที่เหลือจากมื้อเช้า ก็เก็บไว้เป็นมื้อเพล อันนี้แล้วแต่ใครจะกิน ถ้ามีอาหารเหลือน้อย ก็จะทำเพิ่ม แต่ส่วนใหญ่ ช่วงเพล ไม่ค่อยฉันท์หรอก หมายถึงพระนะ ออ ลืมบอกไป พระจากวัดธรรมกายก็มาฉันท์ด้วย 3 รูปมั่ง แต่ไม่ทำวัตรเช้าไม่ออกบิณฑบาตร (ก็งงๆ เหมือนกัน ทำไมแบบนั่น) หลังจากฉันท์เสร็จ กินเสร็จ ก็ลุกแยกย้ายไปล้างเอง ไม่มีสวดแล้วตอนนี้ พระก็ล้างบาตรของตัวเอง .....
          หลังจากหมดภาระกิจช่วงเช้านี้แล้ว ก็เริ่มปฏิบัติ กว่าจะเริ่มได้ก็ปาไปเกือบ 10 โมงแล้ว เห็นโบส์ถเก่าว่างๆ ก็ไปนั่งสมาธิ เหมือนเดิม ยุบหนอ พ่องหนอ นานๆ ไป ยึดหนอ พังหนอ ซะงั้น 5555 มาเองเลยนะคำนี้อัตโนมัติ เริ่มเครียด เพราะกำหนดกลับจริงๆ คือ พรุ่งนี้ แล้ว วันนี้ยังไม่ได้อะไรเลย พระอาจารย์อ๊อดเดินผ่านมา ทักว่าทำไมดูเดินแข็งๆ เกร็งๆ (ก็เดินแบบยุบหนอ พองหนอ ต้องเก้าช้าๆ เดินแบบหลวงพ่อเทียน จะแบบสบายๆ แต่สมาธิจะต่างกัน) ก็ได้คุยกับท่านแป๊ปเดียว ท่านก็จะออกแนวปัชญาอีกแล้ว!!
ก็มีคนแขกมาพบอีกแล้ว!! เลยไม่ได้ให้สอนเป็นเรื่องเป็นราวซะที เดินเอง นั่งเอง อีกแล้ว :(  ....ชะเง้อหาพระรูปนั่น ก็หามะเจอ!! :(
        จนได้เวลากวาดลานวัด ถึงเห็นพระรูปนั่น...ตัดสินใจเดินดุ่มๆ ไปหาเลย พระก็ตกใจนะ 555  หลวงพี่คะช่วยเทคนิคการเดินจงกรม และนั่งวิปัสสนา ให้หน่อยซิคะ (หลวงพี่ตอนนั่นงง หน้ายังเอ๋อๆ 555) ท่านก็สอน แต่พอดีมีน้องที่มาบวชใหม่ เดินมาพอดีเลยชวนน้องให้มาฟังด้วยกัน!.....พระอาจารย์แมว ชื่อท่าน ก็เริ่มการซักถามจริตของแต่ละคน จริตแบ่งออก เป็น 5 อย่าง ของเราจัดในประเภท จริตโทสะ เพราะอารมณ์โกรธ โมโห รุนแรง วิเคราะห์จากบุคคลิกความเด่น ของแต่ละคน พระอ.แมว เห็นแล้วยังอดทักไม่ได้(มั่ง) ว่าเป็นคนดุ เอาเรื่อง 55555  (นิหน่อยยย) อย่าเอ่ยมากเลยนะ เด่วภาพพจน์จะเสียหมดเพราะไดอารี่นี้ 5555 ใครๆ จะกระเจิงซะก่อน หุหุ.....จิตลิง คือประมาณ คนที่วอกแวกกับสิ่งรอบตัว ขี้สงสัย (ตรงนี้ดี ที่ทำให้เกิดปัญญาไว) เข้าใจง่ายๆ คือ คนไฮเปอร์ นั่นหละจิตลิง  หลังจากที่ท่านทราบจริต และจิตของแต่ละคนแล้ว ท่านก็จะสอนวิธีการปฏิบัติ และการแก้ อย่างคนจิตลิง ต้องให้ปฏิบิตในโบส์ถ ที่เงียบๆ เพราะพวกนี้จะสนใจสิ่งรอบข้างมากจนไม่สามารถควบคุมสมาธิได้ จิตเต่าให้ปฏิบัติในที่ๆ มีคนพลุกพล่าน ที่วุ่นวายๆ ยิ่งดี เพราะคนประเภทนี้ไม่ค่อยสนใจไร ต้องให้สิ่งรอบตัวกระตุ้นเสมอๆ และท่านก็แนะเกี่ยวกับการทำวิปัสสนาฯ โยงให้เห็นภาพ เป็นหนูกับแมว อันนี้หละ ชอบมาก หนู คือ ความคิดที่แวบเข้ามาในความคิดเราแล้วก็แวบไป ส่วนแมว คือสติ......เราต้องทำยังไงจะให้แมวโต จับหนู เราต้องให้อาหารแมว นั่นคือ เราต้องฝึกปฏิบัติจังหวะของความรู้สึก ท่านอธิบายแล้วก็ให้เราลองปฏิบัติ โดยยืนนิ่งๆ สบายๆ แล้วใช้หูฟังเสียง จับเสียงให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ต้องไปเพ่งบอกว่านั่นคือเสียงอะไร แค่ให้รู้ว่าเรากำลังฟังเสียง (ตอนนี้จะรู้สึกสบายหูมั่กมาก เพราะจะได้ยินเสียงธรรมชาติบริเวณนั่น ชัดจริงๆ เสียงนก เสียงร้องกระรอก กระแต จิ๋งหรีด เยอะแยะเลย เสียงเพลงจากกลุ่มเล่นสงกรานต์ลอยมาแต่ไกลก็ยังได้ยิน ได้ยินเสียงจากไกลๆ ก็ได้ยิน มีฟามสุขจริงๆ ตอนนั่น) รู้เลยตอนนั่นสมาธิเหมือนอยู่ที่หู แล้วท่านอาจารย์ให้เดินไปข้างหน้าแบบสบายๆ จิตลิงต้องมองระดับพิ้น แต่จิตเด่าต้องมองให้ไกลๆ ไปโน้น ยอดไม้โน้นนน ก็เริ่มเดิน เดินไป วนกลับ แล้วก็หยุด ตามคำสั่งพระอาจารย์แมวบอก ท่านถามว่า รู้สึกไง ตอบอย่างมั่นใจเลย (ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่) "ไม่มีหนู" เพราะตอนนั่น ความรู้สึกนิ่งมากในหัวไม่มีความคิดอะไรแว๊บเข้ามากวน รู้สึกว่างเปล่า ทั้งๆ รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวและเสียงรอบตัว พระอาจารย์แมวบอกว่านั่นหละ ใช่แล้วเรียกว่า"สมาธิมีสติ"...โคตรดีใจเลยตอนนั่น รู้สึกเคลียร์  เหมือนเห็นแสงสว่างนิโหน่ย เลยหละ 5555 .....แค่นั่นหละวันนี้ ออ รู้สึกไม่อยากกลับหละพรุ่งนี้ คือกำหนดกลับกรุงเทพหละ แต่ยังไม่อยากกลับ พระอาจารย์หนุนเลย ยังไม่ต้องกลับ อยู่ต่ออีกสักวัน....ลังเลละซิทีนี้ ใจลึกๆ ไม่อยากกลับอยู่ด้วย แต่ก็สมควรแก่เวลาในการเริ่มฝึกและปฏิบัติของวันนี้หละ พระอาจารย์ก็ต้องกวาดลานวัด ส่วนเราก็ไปพัก เอ้ยย ไปเตรียมตัวทำวัตรเย็น (อยู่ในครัว และไปอาบน้ำ).....ถึงเวลาทำวัตรเย็น วันนี้ทำวัตรเย็นที่โบส์ถหลังเก่า เพราะหลังใหม่ ให้พระจากธรรมกายครอบครองชั่วคราว ตอนค่ำ น่ากลัวเหมือนกันนะ วิเวิกชมัด เพราะโบส์ถเก่าจะโปร่งๆ มองเห็นหมดหละ ต้นไม้ รอบนอก ยิ่งเวลานั่งสมาธิเนี่ย พระอาจาย์อ๊อดจะปิดไฟด้วย มันจะมีแต่แสงเทียนที่จุดหน้าพระพุทธรูปนั่นหละที่ให้แสง ความมืดเวลาตอนเช้ากับตอนเย็นมันไม่เหมือนกันนะ!! แปลกไหม! คงเพราะอากาศทำให้เรารู้สึกแบบนั่น....วันนี้ปรึกษาแม่ว่าไม่อยากกลับขออยู่ต่อสักวัน และก็เล่าเรื่องว่าวันนี้ได้ไรมาบ้าง เม้าท์ไปจนหลับ ....ป้าคุยไปเถอะ เราทำเนียนหลับ ปล่อยให้ป้าพูดคนเดียว 55555....กู๊ดไนท์นะจร้า ความสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น